ยุคที่ 1 – Hair Plug
การทำศัลยกรรมการปลูกผมครั้งแรกต้องย้อนไปถึงปี 1952 โดย Dr.Norman Orentrich ที่นิวยอร์คครับ แต่ว่าในช่วงแรกเอกสารของเขาไม่ได้รับการยอมรับจากกลุ่มแพทย์ หลังจากโดนปฏิเสธไปหลายครั้ง ในที่สุดปี 1959 เอกสารฉบับแรกก็ได้รับการยอมรับอย่างเป็นทางการ เขาได้บัญญัติคำว่า “Donor Dominance” เพื่ออธิบายหลักการพื้นฐานของการปลูกผมซึ่งกล่าวว่า ผมที่ปลูกไปใหม่ยังคงแสดงลักษณะเดียวกันของเส้นผมจากที่มันเคยอยู่ ดังนั้นหมายความว่าการที่เราย้ายผมที่แข็งแรงจากด้านหลังนั้นจะยังคงมีความแข็งแรง และแทบไม่ได้รับผลกระทบจากฮอร์โมน DHT นั่นเองครับ
แต่น่าเสียดายที่ผลลัพธ์ของการปลูกผมแบบนี้อัตราการอยู่รอดของกราฟต์ค่อนข้างต่ำ และด้วยการใช้กราฟต์ผมขนาด 4มม. หรือที่เราเรียกกันว่า Hair Plug นั่นเอง ผลลัพธ์ที่ออกมาไม่เป็นธรรมชาติมาก ๆ หากใครนึกภาพไม่ออก ก็ลองจินตนาการถึงผมเป็นกอ ๆ ของตุ๊กตาได้เลยครับ
ยุคที่ 2 – Mini-Grafts and Micro-Grafts
ในปี 1984 “Mini-Grafts” เป็นเทคนิคที่ใช้การตัดชิ้นกราฟต์เล็กๆจากแผ่นหนังศีรษะแทนการเจาะ โดย “Micro-Grafts” จะเล็กกว่ามีเส้นผมอยู่ที่ 1-2 เส้น ส่วนใหญ่เอาไว้ใช้ทำแนวเส้นผมด้านหน้า และเมื่อมีการใช้ Micro-Grafts ด้านบนศีรษะ และใช้ Mini-Grafts ด้านหน้าทำให้ดูเป็นธรรมชาติมากขึ้น เราเรียกเทคนิคนี้ว่า “Mini-Micro” และเพราะว่าเป็นธรรมชาติกว่าทำให้เทคนิค Mini-Micro ค่อย ๆ แทนที่เทคนิค Hair Plug ไปในที่สุด จากนั้นการปลูกผมแบบนี้ก็กลายเป็นที่นิยมอย่างมากกว่า 20 ปี แต่ด้วยความที่กราฟต์ผมไม่ได้มีการตัดแต่งเนื้อเยื่อทำให้กราฟต์ผมใหญ่กว่าที่ควรจะเป็น ส่งผลให้ปลูกได้ไม่แน่นเท่าไรนัก แผลขนาดใหญ่เกินความจำเป็น และที่สำคัญมีระยะพักฟื้นนาน
ยุคที่ 3 – Follicular Unit Transplantation (FUT)
ในปี 1994 Dr.William Rassman และ Dr.Bernstein ได้คิดค้นไอเดียใหม่ที่เปลี่ยนแปลงการปลูกผมอย่างแท้จริง นั่นก็คือการที่เราจะปลูกเฉพาะเซลล์รากผมที่มีเส้นผมขนาด 1-4 เส้นแทนที่จะปลูกเป็นก้อนนั่นเอง ในปี 1995 เขาได้มีการใช้กล้องจุลทรรศน์ (คิดค้นโดย Dr.Bobby Limmer) ในการแบ่งเอาเซลล์รากผมออกมาจากแผ่นหนังศีรษะที่กรีดออกมา ผลลัพธ์ที่ออกมาถือว่าว้าวมาก ๆ ในสมัยนั้นครับ แต่ก็ต้องแลกมาด้วยการที่ต้องพึ่งพาฝีมือของหมอและทีมงานมากขึ้นนั่นเอง
การปลูกผมด้วยเทคนิค FUT ได้รับการต่อต้านจากสมาคมปลูกผมเป็นจำนวนมาก แต่หลังจากที่มีความต้องการที่จะปลูกด้วยเทคนิคนี้ของคนไข้เป็นจำนวนมาก และภาพรีวิวที่ดูสวยกว่า Mini-Micro เป็นอย่างมาก ในช่วงยุคปี 2000 การปลูกผมด้วยเทคนิคนี้ถือเป็นการปลูกผมกระแสหลักเลยทีเดียวครับ
ยุคที่ 4 – Follicular Unit Extraction (FUE) ภายหลังเปลี่ยนเป็น Follicular Unit Excision
ตลอดเวลาที่ผ่านมาแนวคิดของ Dr.Norman Orentrich ไม่ได้หายไปอย่างสิ้นเชิงนะครับ แนวคิดในการที่เราจะเอากราฟต์ผมออกจากหนังศีรษะโดยตรง กลับมาเป็นที่นิยมอีกครั้งเมื่อ Dr.Bernstein และ Dr.Rassman ได้ตีพิมพ์เอกสารในปี 2002
การปลูกผมด้วยเทคนิค FUE จะเป็นการใช้หัวเจาะกราฟต์ขนาดเล็กพอ ๆ กับตัวกราฟต์ เพื่อลดขนาดของแผล นำกราฟต์ออกมาทีละกราฟต์ ก่อนที่จะนำไปปลูกบริเวณพื้นที่ที่มีปัญหาโดยการใช้เข็มเจาะ และเอา Forceps หยอดผมลงไปทีละกราฟต์ ผลลัพธ์ในบริเวณที่ปลูกดีเท่า ๆ กับการปลูกแบบ FUT เพราะปลูกด้วยวิธีเดียวกัน แต่ผลลัพธ์บริเวณที่นำกราฟต์ออกมานั้นแตกต่างกันโดยสิ้นเชิง เพราะการปลูกด้วยเทคนิค FUT นั้นมีแผลเป็นขนาดใหญ่ทำให้พักฟื้นนาน แต่การปลูกด้วยเทคนิค FUE นั้นสามารถแก้ไขข้อเสียนี้ได้
ยุคที่ 5 – Direct Hair Implantation (DHI)
4 ยุคที่ผ่านมาเป็นการพัฒนาเพื่อแก้ไขจุดอ่อนของเทคนิคก่อนหน้า DHI ก็เช่นกันครับ DHI เป็นการพัฒนาผลลัพธ์บริเวณที่ปลูกอย่างชัดเจน เนื่องจากการใช้ Implanter ในการปลูก จะทำให้ผลลัพธ์ที่ปลูกไปแล้วมีความแน่นใกล้เคียงกับธรรมชาติมาก และที่สำคัญทิศทางของผมที่ปลูกลงไปนั้นก็จะดูเป็นธรรมชาติมากกว่า FUE แบบดั้งเดิม ฟังดูเหมือนง่ายนะครับแต่การปลูกด้วยเทคนิค DHI ค่อนข้างยากมาก ๆ เนื่องจากจำเป็นต้องใช้ทีมที่ใหญ่ขึ้นเป็นเท่าตัว อีกทั้งทักษะของหมอและเหล่าผู้ช่วยก็เป็นปัจจัยที่ส่งผลต่อผลลัพธ์จากการปลูกผมด้วยเทคนิคนี้
ยุคที่ 6 – Long Hair
สำหรับการปลูกผมด้วยเทคนิคที่ทันสมัยที่สุดในปัจจุบัน ยึดหลักจากการที่ต้องการทำให้คนไข้สามารถกลับไปใช่ชีวิตประจำวันได้โดยทันที เพราะไม่ต้องตัดผมสั้น หรือโกบผมบริเวณหลังศีรษะ นิยามของคำว่า Long Hair นั้นผมทั้งบริเวณด้านหน้า และบริเวณด้านหลังต้องกลมกลืนไปกับผมเดิม ไม่ใช่เพียงการซ่อนหรือ อำพลาง แต่เป็นการปลูกผมที่เจาะผมยาวทั้งเส้น และปลูกลงไปทั้งที่ผมยังยาวอยู่ ทำให้ผมใหม่ที่ปลูกกลมกลืนไปกับผมบริเวณเดิม เทคนิคนี้สามารถแก้ปัญหาให้ผู้ที่ขาดวามมั่นใจได้อย่างตรงจุดครับ มีคลินิกปลูกผมไม่กี่แห่งในประเทศไทยที่สามารถทำได้ และยิ่งน้อยลงไปอีกสำหรับที่ทำได้ดีครับ